วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

เปรียบเทียบข้อมูลและสเปค iPhone 5s และ iPhone 5c

เปรียบเทียบข้อมูลและสเปค iPhone 5s และ iPhone 5c
หลังจากเปิดตัว iPhon 5s และ iPhone 5c อย่างเป็นทางการไปแล้ว วันนี้เราลองมาดูว่าสเปคของทั้ง 2 รุ่นแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

 

 iPhone 5s มาพร้อมตัวเครื่อง 3 สี ได้แก่ สีดำเทา (Black/Slate), ขาวเงิน (White/Silver) และสีทอง (Gold) และ iPhone 5c มาพร้อมตัวเครื่องสีสันสดใสทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว ชมพู เหลือง ฟ้า และเขียว

iPhone 5s มาพร้อมปุ่มโฮมที่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเรียกว่า “Touch ID Sensor” สำหรับใช้งานการปลดล็อกหน้าจอ ซื้อสินค้าและบริการจาก  iTunes Store ข้อมูลลายนิ้วมือจะไม่สามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้ นอกจากซอฟต์แวร์ของ Apple เท่านั้น

 iPhone 5s และ iPhone 5c มาพร้อมหูฟัง Apple EarPods เช่นเดียวกับ iPhone 5 หูฟังรุ่นนี้มาจากที่แต่ละคนสวมหูฟังแบบ Earbud ได้สบายไม่เท่ากัน ดังนั้นนักออกแบบและวิศวกรของ Apple จึงทำการทดสอบต้นแบบกับคนจริงๆ หลายร้อยคน เพื่อให้ได้ Earbud ที่กระชับ สวมใส่สบาย เหมาะสำหรับหูที่หลากหลาย และให้เสียงดี ผลลัพธ์ที่ได้คือ Apple EarPods อันนี้นี่เอง

 ทั้ง iPhone 5s และ iPhone 5c มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนชนิดชาร์จซ้ำได้ภายในตัวเครื่อง (ถอดเปลี่ยนไม่ได้) ชาร์จไฟจากเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออะแดปเตอร์ผ่านสาย USB รองรับเวลาสนทนาสูงสุด 8 ชั่วโมง เมื่อเชื่อมต่อ 3G หรือเวลาสแตนด์บายสูงสุด 225 ชั่วโมง และการใช้อินเทอร์เน็ตนานถึง 8 ชั่วโมงเมื่อเชื่อมต่อ 3G และนานถึง 10 ชั่วโมงเมื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi
สามารถเล่นวิดีโอสูงสุด 10 ชั่วโมง และเล่นเสียงเพลงนานสูงสุด 40 ชั่วโมง

 ทั้ง iPhone 5s และ iPhone 5c สามารถใช้กล้องหน้าเพื่อวิดีโอคอลผ่าน FaceTime และสามารถวิดีโอคอลผ่านระบบมือถือได้ คุณภาพการโทรของ FaceTime ชัดระดับ HD และสามารถใช้ถ่ายภาพตัวเองหรือบันทึกวิดีโอ HD ที่ความละเอียด 720p ได้อีกด้วย

iPhone 5s มีกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดของจุดพิกเซล 1.5 ไมโครเมตร ค่ารูรับแสง ƒ/2.2 มีแฟลช dual-LED (True Tone) แสงขาว, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ, บันทึกวิดีโอระดับ 1080p, แตะหน้าจอเพื่อโฟกัส, แนบตำแหน่งแผนที่กับรูปถ่าย,โหมดพาโนรามา, HDR และ iPhone 5c มีกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล แฟลช LED ค่ารูรับแสง ƒ/2.4 ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ, แตะหน้าจอเพื่อโฟกัส, ระบบตรวจจับใบหน้า, โหมดพาโนรามา, แนบแผนที่กับรูปภาพ, บันทึกวิดีโอ 1080p, ซูมได้ 3 เท่า


 ทั้ง iPhone 5s และ iPhone 5c มีหน้าจอขนาด 4 นิ้ว Retina display ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล (326 ppi) ระบบปฏิบัติการ iOS 7

 iPhone 5s มาพร้อมชิปประมวลผล Apple A7 ตัวใหม่แบบ 64-bit และเป็นครั้งแรกที่มีการนำมาใช้บนสมาร์ทโฟน การทำงานของ CPU เร็วขึ้น 40 เท่า และการทำงานของ GPU แรงขึ้น 56 เท่า ยังไม่หมดแค่นั้นมีการเพิ่มหน่วยประมวลผลร่วม M7 ที่จะเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวและทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นประเภทนี้ด้วย อีกทั้งยังมี OpenGL|ES 3.0 (เช่นเดียวกับ Nexus 7) ส่วน iPhone 5c มีชิปประมวลผล A6 (เช่นเดียวกับ iPhone 5) รองรับ 802.11a/b/g/n Wi-Fi (802.11n 2.4GHz and 5GHz), Bluetooth 4.0 และมีระบบ A-GPS และ GLONASS

iPhone 5s ตัวเครื่องอลูมิเนียม มีขนาดตัวเครื่อง 123.8 x 58.6 x 7.6 มม. น้ำหนัก 112 กรัม ความจำตัวเครื่อง 16 GB, 32 GB และ 64 GB  ส่วน iPhone 5c ตัวเครื่องพลาสติก มีขนาดตัวเครื่อง 124.4 x 59.2 x 8.97 มม. น้ำหนัก 132 กรัม ความจำตัวเครื่อง 16 GB และ 32 GB

  • iPhone 5s ราคาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับรุ่น 16GB, ราคา $299 สำหรับรุ่น 32GB และ 64GB ราคา $399 เป็นราคาติดสัญญา 2 ปี นอกจากนี้มีเคสราคา $39 วางจำหน่ายด้วย iPhone 5c เริ่มต้นที่ $99 สำหรับรุ่น 16 GB และ $199 สำหรับรุ่น 32 GB เป็นราคาติดสัญญา 2 ปี นอกจากนี้มีเคสราคา $29 วางจำหน่ายด้วย

ทั้ง 2 รุ่นพร้อมเปิดจอง 13 กันยายนนี้ และวางจำหน่ายจริงในวันที่ 20 กันยายนนี้ใน 9 ประเทศแรกได้แก่ สหรัฐ อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร และจะวางจำหน่ายเพิ่มเติม 100 ประเทศทั่วโลกภายในเดือนธันวาคมนี้รวมถึงประเทศไทยด้วย

ซื้อหวยก็ไม่ถูก มาโหลดสติ๊กเกอร์กันดีกว่า LINE แจกฟรีสติ๊กเกอร์ Sally: Special Edition และ Cony’s Happy Work Life ประเทศตุรกี 

Apple เปิดให้สั่งซื้อ iPhone 5s และ iPhone 5c

Apple เปิดให้สั่งซื้อ iPhone 5s และ iPhone 5c ล่วงหน้าแล้ว 9 ประเทศแรก สำหรับประเทศไทยราคาคงไม่ต่างจากนี้มากนัก เตรียมทรัพย์ให้พร้อมเด้อ...

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เรียกใช้งาน Camera แบบเร่งด่วน บน iOS 5

ตั้งแต่ มี iOS 5 Feature หลายๆอย่างที่ถูกพัฒนาออกมาให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆได้ใช้ ดูจะสะดวกสบายมากถึง รวมถึง Feature เกี่ยวกับกล้อง โดยในวันนี้ผมจะนำทริปวิธีการใช้งาน Camera แบบรวดเร็วมาฝากครับ

 วิธีการเรียกใช้งาน Camera แบบรวดเร็ว ใน iOS5 โดยไม่จำเป็นต้องปลดล๊อค iPhone เพื่อเข้ายังแอพ Camera สามารถทำได้ดังนี้


กดปุ่มโฮมติดกัน 2 ครั้ง จากนั้นเลือก


สำหรับใครที่ไม่เคยใช้วิธีแบบนี้ก็ลองนำไปใช้ดูนะครับ มันจะทำให้การใช้งาน Camera ของคุณง่ายและรวดเร็วขึ้นเยอะเลยครับ

มาเรียนรู้ฟังค์ชั่นและวิธีการใช้งานกล้องบน iOS 5 กันเถอะ

เชื่อว่าหลายคนน่าจะใช้แอพกล้องกันเป็นอยู่แล้ว แต่ก็อาจมีหลายคนที่อาจจะยังไม่ทราบ เกี่ยวกับบางฟังค์ชั่นของการใช้งานอื่นๆของกล้อง ที่ถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มเข้ามาใหม่หลังจากที่เป็น iOS 5 ในแต่ละส่วนจะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยครับ



ในส่วนของ Layout ตัวแอพก็จะเป็นแบบเดิมเหมือนตอน iOS 4 แต่วิธีการจะใช้งานอาจจะถูกปรับเปลี่ยนจากเดิมบ้างเล็กน้อย วิธีต่างๆก็มีดังนี้ครับ

การใช้การกล้อง (Camera)

  • การซูมภาพ : ใช้นิ้วจีบแล้วถ่างออกเพื่อเป็นการซูม (จากของเดิมที่ต้องแตะที่ภาพและเลื่อนที่แถบเพื่อซูม)
  • การเปิดกรอบภาพหรือ Grid : แตะที่ตัวเลือกหรือ Options
  • การล็อกโฟกัสและการล็อกค่าของแสง : แตะบริเวณที่ต้องการค้างไว้ จนกว่าจะขึ้นกรอบสี่เหลี่ยมกระพริบ AE/AF ล็อกจะปรากฏที่หน้าจอ (หากอยากเลิกล็อก ให้แตะที่หน้าจอหนึ่งครั้ง)
  • การเปิดดูรูปถ่ายล่าสุด : สามารถแตะที่รูปภาพย่อของภาพถ่ายสุดท้าย หรือแตะลากนิ้วจากซ้ายไปขวาเพื่อเข้าสู่ภาพถ่ายสุดท้ายได้เช่นกัน
  • การเปิดโหมด HDR : แตะเลือกที่ตัวเลือกหรือ Options (หมายเหตุ : โหมด HDR ขณะนี้มีเฉพาะ iPhone 4 หรือ iPhone 4S เท่านั้น) สำหรับใครที่อยากรู้ว่า HDR คืออะไร สามารถอ่านต่อได้ในบทความเรื่อง มารู้จักกับ HDR Photography บน iPhone 4 ได้เลยครับ

สำหรับเรื่องการใช้งานกล้องยังไม่จบ แต่ยังมีเกร็ดเล็กๆน้อยๆ หลังจากถ่ายภาพเสร็จ นั่นคือการแก้ไขรูปภาพ ฟังค์ชั่นนี้เคยลองใช้กันรียังครับ?
เราจะสามารถแก้ไขรูปภาพได้โดยการใช้นิ้วแตะหน้าจอจะมีปุ่มเมนูแก้ไขหรือ Edit อยู่มุมขวามือด้านบน ให้แตะ หลังจากนั้นจะมีเมนูย่อยให้เราสามารถแก้ไขรูปได้ดังนี้



การแก้ไขรูปภาพ (Edit Photo)

  • หมุน (Rotate) : เอาไว้สำหรับหมุนหรือกลับภาพ
  • ปรับความอิ่มสี (Auto-Enhance) : เอาไว้สำหรับปรับความสมดุลสีของภาพ
  • ลบตาแดง (Remove Red-Eye) : แก้ปัญหาตาแดงจากภาพถ่ายที่ใช้แฟลชในตอนกลางคืน
  • ครอบตัด (Crop Photo) : ตัดภาพเฉพาะส่วนตามที่ต้องการ

ยังไงคงต้องขอจบบทความไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าทุกท่านคงจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ



จากคำถามใน Facebook Fanpage คำถามหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราพบว่า มีปัญหาหนึ่งที่เพื่อน ๆ ประสบกันอยู่ นั่นก็คือ "SMS แจ้งเตือนซ้ำ ๆ บ่อยไป" จะปิดก็ปิดไม่ได้ หาที่ปิดไม่เจอซักที วันนี้เราจะมาปิดมันทิ้งกันครับ จะได้ไม่รำคาญกับเสียงเตือนซ้ำ ๆ เวลา SMS เข้าเสียที


ก่อนอื่นเลย ไปที่ Settings > Notifications (ตั้งค่า > การแจ้ง) เลือก Message (ข้อความ)


*สำหรับผู้ใช้ iOS 4 และไม่มีเมนูดังภาพ ให้ไปที่ Settings > Messages (ตั้งค่า > ข้อความ) แทนนะครับ

จากนั้น เข้าไปดูตรง "Repeat Alert" (เตือนซ้ำ) หรือเมนู Play SMS Alert ใน iOS 4


 เข้าไปปิดมันทิ้งซะ เท่านี้ เวลา SMS เข้า ก็จะเตือนแค่รอบเดียว ไม่เตือนซ้ำเตือนซากให้กวนใจเราอีกแล้ว



ใช้งาน Siri โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม Home



สัปดาห์นี้เราก็กลับมาเจอกันเช่นเคยนะครับ สำหรับ iPhone Tip ประจำสัปดาห์นี้ ผมก็ขอเอาเรื่อง Siri มาแนะนำ ถือเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่บางคนอาจจะยังไม่ทราบครับ

วิธีการเรียกใช้งาน Siri โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม Home

ปกติเวลาที่เราจะเรียกใช้งาน Siri จาก iPhone 4S ทุกคนก็จะกดปุ่ม Home แล้ว Siri ก็จะทำงานใช่ไหมครับ? แต่สำหรับวิธีอีกอย่างก็คือ ก่อนอื่นต้องปลดล๊อคหน้าจอ การเอา iPhone แนบที่หูทิ้งไว้สักระยะ แล้วจะได้ยินเสียง Siri ทำงาน หลังจากนั้นก็ให้คุณพูดสิ่งที่ต้องการได้เลยครับ
หมายเหตุ : หากทำตามวิธีข้างต้นแล้ว Siri ยังไม่ทำงาน แสดงว่าอาจจะเป็นที่อินเทอร์เน็ตที่ใช้งานช้า หรือแนบหูไม่สนิท Siri เลยไม่ทำงานครับครับ